ถังดับเพลิงมีกี่ชนิด เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของแต่ละชนิด

by pam
413 views

อัคคีภัยเป็นอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา และอาจก่อให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน การมีถังดับเพลิงที่เหมาะสมติดตั้งไว้ในสถานที่ทำงาน บ้านเรือน หรือสถานประกอบการต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ถังดับเพลิงไม่ได้มีเพียงประเภทเดียว แต่แบ่งออกเป็นหลายประเภทตามชนิดของสารดับเพลิงที่บรรจุอยู่ภายใน ซึ่งแต่ละประเภทมีคุณสมบัติในการดับไฟที่แตกต่างกัน

ถังดับเพลิง คืออะไร?

ถังดับเพลิง (Fire Extinguisher) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการดับเพลิงขนาดเล็กหรือควบคุมไฟก่อนที่จะลุกลาม โดยภายในถังจะบรรจุสารดับเพลิงชนิดต่าง ๆ เช่น ผงเคมีแห้ง คาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) หรือโฟม ซึ่งออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและสามารถพกพาไปยังจุดเกิดเพลิงไหม้ได้สะดวก

วิธีใช้ถังดับเพลิงอย่างถูกต้อง

การใช้ถังดับเพลิงสามารถทำได้ง่าย ๆ โดยใช้หลัก “PASS” ซึ่งเป็นคำย่อที่ช่วยให้จำวิธีใช้งานได้สะดวก

หลักการ PASS

  1. P – Pull (ดึงสลักนิรภัยออก) ดึงสลักที่อยู่ตรงคันโยกออกก่อนใช้งาน

  2. A – Aim (เล็งไปที่ฐานของไฟ) จับหัวฉีดและเล็งไปที่ฐานของเปลวไฟ ไม่ใช่ที่เปลวไฟโดยตรง

  3. S – Squeeze (กดคันโยกเพื่อปล่อยสารดับเพลิง) บีบหรือกดคันโยกเพื่อปล่อยสารดับเพลิงออกมา

  4. S – Sweep (กวาดหัวฉีดไปมา) เคลื่อนหัวฉีดจากซ้ายไปขวาให้ทั่วฐานไฟจนกว่าไฟจะดับ

ประเภทของถังดับเพลิงมีอะไรบ้าง

ถังดับเพลิงแบ่งออกเป็น 5 ประเภทหลัก ได้แก่

  1. ถังดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้ง (Dry Chemical Fire Extinguisher)
  2. ถังดับเพลิงชนิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Dioxide Fire Extinguisher – CO₂)
  3. ถังดับเพลิงชนิดโฟม (Foam Fire Extinguisher)
  4. ถังดับเพลิงชนิดน้ำ (Water Fire Extinguisher)
  5. ถังดับเพลิงชนิดสารเหลวระเหย (Clean Agent Fire Extinguisher)

ลักษณะเด่นตามชนิดของถังดับเพลิง

ถังดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้ง

1. ถังดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้ง (Dry Chemical Fire Extinguisher)

หลักการทำงาน:
ถังดับเพลิงชนิดนี้บรรจุสารเคมีแห้ง เช่น โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium Bicarbonate) หรือ แอมโมเนียมฟอสเฟต (Monoammonium Phosphate) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยขัดขวางปฏิกิริยาเคมีของไฟ (Chain Reaction) ทำให้ไฟดับลงอย่างรวดเร็ว โดยสารเคมีจะทำหน้าที่เคลือบเชื้อเพลิง และตัดการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน

การใช้งาน:
สามารถใช้ดับไฟได้ถึง 3 ประเภท ได้แก่

    • 🔥 ประเภท A: วัสดุเชื้อเพลิงทั่วไป เช่น ไม้ กระดาษ ผ้า พลาสติก
    • 🔥 ประเภท B: ของเหลวไวไฟ เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง ทินเนอร์ สี
    • ประเภท C: อุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น ตู้ควบคุมไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า

ข้อดี:
✅ ดับไฟได้หลากหลายประเภท
✅ มีประสิทธิภาพสูงในการดับไฟทันที
✅ ราคาถูกกว่าถังดับเพลิงประเภทอื่นและหาซื้อง่าย

ข้อเสีย:
❌ สารเคมีอาจทำให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องจักร
❌ ฝุ่นละอองจากสารเคมีหนาทึบ อาจบดบังทัศนวิสัย ทำให้มองไม่เห็นทางหนีไฟ
❌ ต้องทำความสะอาดพื้นที่หลังการใช้งาน เนื่องจากสารเคมีตกค้าง

ถังดับเพลิงชนิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

2. ถังดับเพลิงชนิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂ Fire Extinguisher)

หลักการทำงาน:
ถังดับเพลิงชนิดนี้ใช้ก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ที่ถูกบีบอัดอยู่ในสถานะของเหลว เมื่อฉีดออกมา ก๊าซจะขยายตัวอย่างรวดเร็วและลดอุณหภูมิบริเวณที่เกิดไฟไหม้ พร้อมกับแทนที่ออกซิเจนในบริเวณนั้น ทำให้ไฟดับลง

การใช้งาน:
เหมาะสำหรับใช้กับไฟ 2 ประเภท ได้แก่

    • 🔥 ประเภท B: ไฟจากของเหลวไวไฟ เช่น น้ำมัน สี ทินเนอร์
    • ประเภท C: ไฟจากอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น คอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์

ข้อดี:
✅ ไม่ทิ้งคราบสกปรกหลังใช้งาน
✅ ไม่เป็นอันตรายต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า
✅ มีความปลอดภัยในการใช้งานภายในอาคาร

ข้อเสีย:
❌ ไม่สามารถใช้ดับไฟประเภท A ได้ เพราะไม่มีคุณสมบัติทำให้ไฟเย็นลง
❌ มีประสิทธิภาพลดลงเมื่อใช้ในที่เปิดโล่ง เพราะก๊าซสามารถกระจายออกไปได้ง่าย
❌ ถังต้องมีฉนวนกันความเย็น เพราะ CO₂ มีอุณหภูมิต่ำมาก อาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บจากความเย็นจัด (Frostbite) หากสัมผัสโดยตรง

ถังดับเพลิงชนิดโฟม

3. ถังดับเพลิงชนิดโฟม (Foam Fire Extinguisher)

หลักการทำงาน:
เมื่อฉีดโฟมออกมา สารจะทำหน้าที่สร้างชั้นปกคลุมบนผิวหน้าของของเหลวไวไฟ เพื่อกันไม่ให้ออกซิเจนเข้าไปถึงเชื้อเพลิง และช่วยลดอุณหภูมิของไฟ ทำให้ไฟดับลง

การใช้งาน:
เหมาะสำหรับใช้กับไฟ 2 ประเภท ได้แก่

    • 🔥 ประเภท A: ไม้ กระดาษ ผ้า พลาสติก
    • 🔥 ประเภท B: ของเหลวไวไฟ เช่น น้ำมัน น้ำมันก๊าด

ข้อดี:
✅ มีประสิทธิภาพสูงในการดับไฟจากของเหลวไวไฟ
✅ ป้องกันการปะทุของไฟซ้ำ เพราะโฟมช่วยเคลือบพื้นผิวเชื้อเพลิง

ข้อเสีย:
❌ ไม่สามารถใช้กับไฟประเภท C ได้ เพราะโฟมมีน้ำเป็นส่วนประกอบ ซึ่งอาจนำไฟฟ้า
❌ ต้องทำความสะอาดพื้นที่หลังใช้งาน เนื่องจากโฟมจะตกค้าง

ถังดับเพลิงชนิดน้ำ

4. ถังดับเพลิงชนิดน้ำ (Water Fire Extinguisher)

หลักการทำงาน:
น้ำทำหน้าที่ลดอุณหภูมิของไฟโดยการดูดซับความร้อนออกจากเชื้อเพลิง ทำให้ไฟดับลง

การใช้งาน:
เหมาะสำหรับใช้กับไฟ ประเภทเดียว คือ

    • 🔥 ประเภท A: วัสดุที่ติดไฟง่าย เช่น ไม้ กระดาษ ผ้า

ข้อดี:
✅ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
✅ ราคาถูกกว่าถังดับเพลิงประเภทอื่น

ข้อเสีย:
❌ ไม่สามารถใช้กับไฟประเภท B และ C ได้ เพราะอาจทำให้ไฟลุกลามมากขึ้น
❌ อาจเป็นอันตรายหากใช้กับไฟฟ้า เพราะน้ำเป็นตัวนำไฟฟ้า

ถังดับเพลิงชนิดสารเหลวระเหย

5. ถังดับเพลิงชนิดสารเหลวระเหย (Clean Agent Fire Extinguisher)

หลักการทำงาน:
ใช้สารเคมีเหลวที่ระเหยได้ เช่น ฮาลอน (Halotron) หรือ HFC-227ea (FM-200) ทำหน้าที่ขัดขวางปฏิกิริยาเคมีของไฟและระเหยอย่างรวดเร็วโดยไม่ทิ้งคราบ

การใช้งาน:
สามารถใช้ได้กับไฟ 3 ประเภท ได้แก่

    • 🔥 ประเภท A: วัสดุเชื้อเพลิงทั่วไป เช่น กระดาษ ผ้า
    • 🔥 ประเภท B: ของเหลวไวไฟ เช่น น้ำมัน
    • ประเภท C: อุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น คอมพิวเตอร์ ห้องเซิร์ฟเวอร์

ข้อดี:
✅ ไม่ทิ้งคราบสกปรกหลังใช้งาน
✅ ไม่เป็นอันตรายต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า
✅ ไม่มีสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ข้อเสีย:
❌ ราคาสูงกว่าถังดับเพลิงประเภทอื่น
❌ มีข้อจำกัดในการใช้งานในพื้นที่เปิดโล่ง เพราะสารสามารถกระจายตัวได้เร็ว


ตารางเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของถังดับเพลิงแต่ละประเภท

ประเภทถังดับเพลิง ใช้ดับไฟประเภท ข้อดี ข้อเสีย
ผงเคมีแห้ง A, B, C ดับไฟได้หลายประเภท, ราคาถูก ทิ้งคราบสกปรก, อาจบดบังการมองเห็น
ก๊าซ CO₂ B, C ไม่ทิ้งคราบ, ปลอดภัยกับอุปกรณ์ไฟฟ้า ใช้ในที่เปิดโล่งไม่ได้ดี, อันตรายจากความเย็นจัด
โฟม A, B ดับไฟของเหลวไวไฟได้ดี ไม่เหมาะกับไฟฟ้า, ต้องทำความสะอาด
น้ำ A เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, ราคาถูก ใช้กับไฟ B และ C ไม่ได้, นำไฟฟ้า
สารเหลวระเหย A, B, C ไม่ทิ้งคราบ, ปลอดภัยกับอุปกรณ์ไฟฟ้า ราคาสูง, มีข้อจำกัดในที่เปิดโล่ง

ถังดับเพลิงที่เหมาะสมสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม

โรงงานอุตสาหกรรมมีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยสูง เนื่องจากมีวัสดุไวไฟ เครื่องจักรกล และระบบไฟฟ้าจำนวนมาก ดังนั้นการเลือกถังดับเพลิงที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยควรเลือกถังที่สามารถดับไฟได้หลายประเภทและเหมาะกับความเสี่ยงของแต่ละโรงงาน

แต่ถังดับเพลิงที่แนะนำสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมคือ ถังดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้ง (ใช้ได้กับไฟทุกประเภท), ถังดับเพลิง CO₂ (เหมาะกับเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า), ถังดับเพลิงชนิดโฟม (ใช้กับของเหลวไวไฟ) และถังสารเหลวระเหย (สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำคัญ) ทั้งนี้ควรเลือกติดตั้งตามความเสี่ยงของโรงงานแต่ละแห่ง

สำหรับสถานประกอบการที่มีงานเกี่ยวข้องกับความร้อน เกิดประกายไฟในการทำงาน จำเป็นต้องมีผู้ดูแลโดยเฉพาะอย่าง ” ผู้เฝ้าระวังไฟ ” เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากเพลิงไหม้และเพิ่มความปลอดภัยในพื้นที่ทำงาน ซึ่งผู้เฝ้าระวังไฟจำเป็นต้องผ่านการอบรมหลักสูตรผู้เฝ้าระวังไฟ พร้อมรับใบเซอร์ผู้เฝ้าระวังไฟ จากศูนย์ฝึกอบรมเพื่อเป็นหลักฐาน ยืนยันถึงความพร้อมให้การปฏิบัติหน้าที่

ข้อแนะนำเพิ่มเติม

  • โรงงานอุตสาหกรรมควรมีถังดับเพลิงหลายประเภท เพื่อให้สามารถรับมือกับไฟที่อาจเกิดขึ้นจากวัสดุและอุปกรณ์ที่แตกต่างกัน
  • ควรติดตั้งถังดับเพลิงในเหมาะสม เช่น ทางหนีไฟ, ห้องเครื่อง, ห้องครัว, ห้องเก็บวัสดุไวไฟ อื่น
  • ควรตรวจสอบถังดับเพลิงอย่างสม่ำเสมอ

มาตรฐานถังดับเพลิง

มาตรฐานถังดับเพลิง

มาตรฐานถังดับเพลิงในประเทศไทยมักอ้างอิงตาม มาตรฐาน Thai Industrial Standards (TIS) และมาตรฐานสากล เช่น NFPA (National Fire Protection Association) โดยมีหลักการและข้อกำหนดดังนี้:

  1. ขนาด: ถังดับเพลิงต้องมีขนาดที่เหมาะสมกับการใช้งาน มีหลายขนาด เช่น 1, 2, 5, 10, 20 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับประเภทและการใช้งาน
  2. ประเภท: ถังดับเพลิงต้องระบุประเภทของไฟที่สามารถใช้ได้ (A, B, C หรือ D)
  3. วัสดุ: ถังต้องทนทานต่อการใช้งาน มีวัสดุที่แข็งแรง ไม่แตกหักง่าย เช่น เหล็กหรืออลูมิเนียม
  4. การทดสอบ: ถังต้องผ่านการทดสอบการบรรจุสารดับเพลิงและการตรวจสอบความดันที่สูงสุดตามข้อกำหนด
  5. อายุการใช้งาน: ถังดับเพลิงต้องตรวจสอบและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ และควรเปลี่ยนใหม่ทุก 5 ปี
  6. การติดตั้ง: ต้องติดตั้งในที่ที่เข้าถึงได้ง่าย สังเกตได้ชัดเจน และไม่เกินความสูงที่สามารถเข้าถึงได้โดยสะดวก

การปฏิบัติตามมาตรฐานเหล่านี้ช่วยให้ถังดับเพลิงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัยในสถานการณ์ฉุกเฉิน

สรุป

การเลือกใช้ถังดับเพลิงที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและควบคุมอัคคีภัย ควรพิจารณาประเภทของไฟที่อาจเกิดขึ้นในบริเวณที่ต้องการติดตั้ง และเลือกถังดับเพลิงที่มีข้อดีที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม การมีความรู้เกี่ยวกับประเภทของถังดับเพลิงและวิธีใช้อย่างถูกต้อง จะช่วยเพิ่มโอกาสในการควบคุมไฟและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้

อ้างอิง

  • National Fire Protection Association (NFPA)
  • Occupational Safety and Health Administration (OSHA)

บทความที่น่าสนใจ

เรื่องยอดนิยม